เมนู

ภิกษุรับนิมนต์หมู่ประชาชนทุกเหล่าแล้วฉัน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในประชาชน
หมู่นั้น 1 ภิกษุถูกเขานิมนต์ แต่บอกว่า จักรับภิกษา 1 ภัตตาหารที่เขา
ถวายเป็นนิตย์ 1 ภัตตาหารที่เขาถวายด้วยสลาก 1 ภัตตาหารที่เขาถวายใน
ปักษ์ 1 ภัตตาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ 1 ภัตตาหารที่เขาถวายในวัน
ปาฏิบท 1 ภิกษุฉันอาหารทุกชนิดเว้นโภชนะห้า 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุ
อาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
โภชนวรรค สิกขาบทที่ 3 จบ

โภชนวรรค ปรัมปรโภชนสิกขาบทที่ 3


ในสิกขาบทที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องปรัมปรโภชนะ]


คำว่า น โข อิทํ โอรกํ ภวิสฺสติ ยถา อิเม มนุสฺสา
สกฺกจฺจํ ภตฺตํ กโรนฺติ
มีความว่า มนุษย์พวกนี้ทำภัตตาหารโดยเคารพ
โดยทำนองที่เป็นเหตุให้พระศาสนานี้ หรือทานในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุขนี้ ปรากฏชัด จักไม่เป็นทานต่ำต้อยเลย คือจักไม่เป็นกุศลเล็กน้อย
เลวทรามเลย.
คำว่า กิร ในบทที่ว่า กิรปติโก นี้ เป็นชื่อของกุลบุตรนั้น. ก็
กุลบุตรนั้นเขาเรียกว่า กิรปติกะ เพราะอรรถว่า เป็นอธิบดี (เป็นใหญ่).
ได้ยินว่า เขาเป็นใหญ่ เป็นอธิบดี ให้ค่าจ้างใช้กรรมกรทำงานโดยกำหนด
เป็นรายเดือน ฤดู และปี. กรรมกรผู้ยากจนนั้น กล่าวคำว่า พทรา
ปฏิยตฺตา
นี้ ด้วยอำนาจโวหารของชาวโลก.

บทว่า พทรมิสฺสเกน คือ ปรุงด้วยผลพุทรา.
สองบทว่า อุสฺสุเร อาหรียิตฺถ คือ ทายกนำบิณฑบาตมาถวาย
สายไป. การวิกัปนี้ว่า ข้าพเจ้าให้ภัตตาหารที่หวังจะได้ ของข้าพเจ้าแก่ท่าน
ผู้มีชื่อนี้ ชื่อว่า การวิกัปภัตตาหาร. การวิกัปภัตตาหารควรทั้งต่อหน้าทั้ง
ลับหลัง. เห็น (ภิกษุ) ต่อหน้าพึงกล่าวว่า ผมวิกัปแก่ท่าน แล้วฉันเถิด.
ไม่เห็น พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าวิกัปแก่สหธรรมิก 5 ผู้มีชื่อนี้ แล้วฉันเถิด. แต่
ในอรรถกถาทั้งหลายมีมหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้แต่วิกัปลับหลังเท่านั้น.
ก็เพราะการวิกัปภัตตาหารนี้นั้น ทรงสงเคราะห์ด้วยวินัยกรรม ; ฉะนั้น จึง
ไม่ควรวิกัปแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง
ในพระคันธกุฎีก็ดี ประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี กรรมนั้น ๆ ที่สงฆ์รวม
ภิกษุครบคณะแล้วทำ เป็นอันกระทำดีแล้วแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำ
ให้เสียกรรม ไม่ทรงทำให้กรรมสมบูรณ์ ไม่ทรงทำให้เสียกรรม เพราะพระ
องค์มีความเป็นใหญ่โดยธรรม, ไม่ทรงทำให้กรรมสมบูรณ์ ก็เพราะพระองค์
มิได้เป็นคณปูรกะ (ผู้ทำคณะให้ครบจำนวน).
คำว่า เทฺว ตโย นิมนฺเตน เอกโต ภุญฺชติ มีความว่าบรรจุ
คือรวมนิมันตนภัต 2-3 ทีบาตรใบเดียว คือ ทำให้เป็นอัน เดียวกันแล้วฉัน.
ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ตระกูล 2-3 ตระกูล นิมนต์ภิกษุ ให้นั่งในที่แห่ง
เดียว แล้วนำ (ภัตตาหาร) มาจากที่นี้และที่นั่น แล้วเทข้าวสวย แกงและ
กับข้าวลงไป ภัตเป็นของสำรวมเป็นอันเดียวกัน ไม่เป็นอาบัติในภัตสำรวมนี้.
ก็ถ้าว่า นิมันตนภัตครั้งแรกอยู่ข้างล่าง นิมันตนภัตทีหลังอยู่ข้างบน,
เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ฉันนิมันตนภัตทีหลังนั้นตั้งแต่ข้างบนลงไป. แต่ไม่เป็น
อาบัติแก่ภิกษุผู้ฉัน โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง จำเดิมตั้งแต่เวลาที่เธอเอามือ
ล้วงลงไปภายใน แล้วควักคำข้าวแม้คำหนึ่งจากนิมันตนภัตครั้งแรก ขึ้นมาฉัน

แล้ว ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า แม้ถ้าว่า ตระกูลทั้งหลายราดนมสด หรือ
รสลงไปในภัตนั้น, ภัตที่ถูกนมสดและรสใดราดทับ มีรสเป็นอันเดียวกันกับ
นมสด และรสนั้น, ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ฉันตั้งแต่ยอดลงไป.
แต่ในมหาอรรถกถากล่าวว่า ภิกษุได้ขีรภัต (ภัตเจือนมสด) หรือ
รสภัต (ภัตมีรสแกง) นั่งแล้ว แม้ชาวบ้านพวกอื่นเทขีรภัตหรือรสภัต (อื่น)
ลงไปบนขีรภัตและรสภัตนั้นนั่นแหละ (อีก), ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ดื่มนมสด
หรือรส, แต่ภิกษุผู้กำลังฉันอยู่ จะเปิบชิ้นเนื้อหรือก้อนข้าวที่ได้ก่อนเข้าปาก
แล้วฉัน ตั้งแต่ยอดลงไปควรอยู่, แม้ในข้าวปายาสเจือเนยใส ก็นัยนี้เหมือนกัน
ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถาว่า อุบายสกผู้หญิงนิมนต์ภิกษุไว้, เมื่อ
ภิกษุไปสู่ตระกูลแล้ว อุบายสกก็ดี อันใดขนมีบุตรภรรยาและพี่น้องชายพี่น้อง-
ของอุบาสกนั้นก็ดี นำเอาเอาภัตส่วนของตน ๆ มาใส่ในบาตร, เป็นอาบัติ แก่
ภิกษุผู้ไม่ฉันภัตส่วนที่อุบายสกถวายก่อน ฉันส่วนที่ได้ทีหลัง ในอรรถกถากุรุน-
ที่กล่าวว่า ควร ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ถ้าพวกเขาแยกกันหุงต้ม, นำมาถวาย
จากภัตที่หุงต้มเพื่อตน ๆ, บรรดาภัตเหล่านั้น เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันภัต
ที่เขานำมาทีหลังก่อน, แต่ถ้าพวกเขาทั้งหมดหุงต้มรวมกัน, ไม่เป็น ปรัมปร-
โภชนะ.
อุบาสกผู้ใหญ่นิมนต์ภิกษุให้นั่งคอย. ชาวบ้านอื่นจะรับเอาบาตร
ภิกษุอย่าพึงให้. เขาถามว่า ทำไม ขอรับ ! ท่านจึงไม่ให้ ? พึงกล่าวว่า
อุบาสก ! ท่านนิมนต์พวกเราไว้มิใช่หรือ ? เขากล่าวว่า ช่างเถอะขอรับ ! นิมนต์
ท่านฉันของที่ท่านได้แล้ว ๆ เถิด. จะฉันก็ควร. ในกุรุนที่กล่าวว่า เมื่อคน
อื่นนำภัตมาถวาย ภิกษุแม้บอกกล่าวแล้วฉันก็ควร. พวกชาวบ้านทั้งหมดอยาก
ฟังธรรมจึงนิมนต์ภิกษุผู้ทำอนุโมทนาแล้วจะไปว่า ท่านขอรับ ! แม้พรุ่งนี้ก็

นิมนต์ท่านมาอีก. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุจะมาฉันภัตที่ได้แล้ว ๆ ควรอยู่. เพราะ
เหตุไร ? เพราะชาวบ้านทั้งหมดนิมนต์ไว้.
ภิกษุรูปหนึ่งไปเที่ยวบิณฑบาตได้ภัตตาหารมา. อุบาสกอื่นนิมนต์ภิกษุ
รูปนั้น ให้นั่งคอยอยู่ในเรือน และภัตยังไม่เสร็จก่อน. ถ้าภิกษุนั้นฉันภัตที่ตน
เที่ยวบิณฑบาตได้มา เป็นอาบัติ. เมื่อเธอไม่ฉัน นั่งคอย อุบาสกถามว่า ทำไม
ขอรับ ! ท่านจึงไม่ฉัน เธอกล่าวว่าเพราะท่านนิมนต์ไว้ แล้วเขาเรียนว่า
นิมนต์ท่านฉันภัตที่ท่านได้แล้ว ๆ เถิด ขอรับ ! ดังนี้ จะฉันก็ได้
สองบทว่า สกเลน คาเมน มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้อัน
ชาวบ้านทั่งมวล รวมกันนิมนต์ไว้เท่านั้น ซึ่งฉันอยู่ในที่แห่งหนึ่งแห่งใด แม้
ในหมู่คณะ ก็นัยนี้นั่นแล.
คำว่า นิมนฺติยมาโน ภิกฺขํ คณฺหิสฺสามีติ ภณติ มีความว่า
ภิกษุผู้ถูกเขานิมนต์ว่า นิมนต์ท่านรับภัตตาหาร กล่าวว่ารูปไม่มีความต้องการ
ภัตของท่าน, รูปจักรับภิกษา. ในคำว่า ภตฺตํ ฯ เป ฯ วทติ นี้พระมหา
ปทุมเถระกล่าวว่า ภิกษุผู้กล่าวอย่างนี้ อาจเพื่อจะทำไม่ให้เป็นนิมันตนภัตใน
สิกขาบทนี้ได้, แต่ได้ทำโอกาสเพื่อประโยชน์แก่การฉัน ; เพราะฉะนั้น ภิกษุ
นั้นจึงไม่พ้น จากคณโภชนะ และไม่พ้นจากจาริตตสิกขาบท. พระมหาสุมนเถระ
กล่าวว่า ภิกษุอาจจะทำให้ไม่เป็นนิมันตนภัตโดยส่วนใด, ไม่เป็นคณโภชนะ
ไม่เป็นจาริตตะ โดยส่วนนั้น. คำที่เหลือดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายและวาจา 1
ทางกายวาจาและจิต 1 เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา, จริงอยู่ ในกิริยาและอกิริยานี้
การฉันเป็นกิริยา การไม่วิกัป เป็นอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
ปรัมปรโภชนสิกขาบทที่ 3 จบ

โภชนวรรค สิกขาบทที่ 4


เรื่องอุบาสิกาชื่อกาณมาตา


[494] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น อุบาสิกา
ชื่อกาณมาตาเป็นสตรีผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ยกบุตรีชื่อกาณาให้แก่ชายผู้หนึ่งใน
ตำบลบ้านหมู่หนึ่ง ครั้งนั้น นางกาณาได้ไปเรือนมารดาด้วยธุระบางอย่าง ฝ่าย
สามีของนางกาณาได้ส่งทูตไปใสสำนักนางกาณาว่า แม่กาณาจงกลับมา ฉัน
ปรารถนาให้แม่กาณากลับ จึงอุบายสิกาชื่อกาณมาตาคิดว่า การที่บุตรีจะกลับไป
มือเปล่า ดูกระไรอยู่ จึงได้ทอดขนม เมื่อขนมสุกแล้ว ภิกษุผู้ถือเที่ยว
บิณฑบาตรูปหนึ่งได้เข้ามาถึงบ้านอุบายสิกากาณมาตา จึงอุบายสิกากาณมาตาสั่ง
ให้ถวายขนมแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว ได้บอกแก่ภิกษุรูปอื่น
นางก็ได้สั่งให้ถวายขนมแม้แก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว ได้บอกแก่
ภิกษุรูปอื่น นางก็ได้สั่งให้ถวายขนมแม้แก่ภิกษุรูปนั้น ขนมตามที่จัดไว้ได้
หมดสิ้นแล้ว.
แม้คราวที่สอง สามีของนางกาณาก็ได้ส่งทูตไปในสำนักนางกาณาว่า
แม่กาณาจงกลับมา ฉันปรารถนาให้แม่กาณากลับ.
แม้คราวที่สอง อุบายสิกากาณมาตาก็คิดว่า การที่บุตรีจะกลับไปมือ
เปล่า ดูกระไรอยู่ จึงได้ทอดขนม เมื่อขนมสุกแล้ว ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต
รูปหนึ่งได้เข้ามาถึงบ้านอุบาสิกากาณมาตา จึงอุบาสิกกาณมาตาได้สั่งให้ถวาย
ขนมแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้น ออกไปแล้วได้บอกแก่ภิกษุรูปอื่น นางก็ได้สั่ง
ให้ถวายขนมแม้แก่ภิกษุรูปนั้น ขนมตามที่จัดไว้ได้หมดสั้นแล้ว.